พ่นสีฝุ่น (Powder Coating) เป็นกระบวนการเคลือบสีบนชิ้นงานโลหะโดยใช้ผงสีแห้งที่มีประจุไฟฟ้า เมื่อพ่นลงบนชิ้นงาน ผงสีจะเกาะติดแน่น แล้วนำไปอบที่อุณหภูมิสูงประมาณ 180-220°C เพื่อให้ผงสีละลายและยึดติดเป็นฟิล์มสีแข็งแรงบนพื้นผิว.

พ่นสีฝุ่นมีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับการพ่นสีแบบน้ำมัน (สีพ่นทั่วไป) ได้แก่:

✅ ความทนทานสูง – ทนต่อรอยขีดข่วน, สารเคมี และสภาพอากาศได้ดีกว่า

✅ ไม่มีสารละเหยอันตราย (VOC-Free) – ไม่ใช้ตัวทำละลาย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

✅ สีเรียบเนียนกว่า – ไม่มีรอยหยดหรือไหลเยิ้มเหมือนสีแบบน้ำมัน

✅ เคลือบได้หนาขึ้น – สามารถเคลือบสีหนาโดยไม่ต้องพ่นหลายรอบ

วัสดุที่เหมาะกับการพ่นสีฝุ่นต้องเป็นวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ เช่น:

✔ เหล็ก – เช่น เหล็กแผ่น เหล็กท่อ เหล็กกล่อง

✔ อลูมิเนียม – เช่น อลูมิเนียมโปรไฟล์ อุปกรณ์ตกแต่ง

✔ สแตนเลส – ต้องมีการเตรียมพื้นผิวพิเศษเพื่อให้สีติดแน่น

หมายเหตุ: วัสดุที่ไม่เป็นโลหะ เช่น พลาสติก หรือไม้ ไม่สามารถพ่นสีฝุ่นได้

การพ่นสีฝุ่นมี 4 ขั้นตอนหลัก:

1️⃣ เตรียมพื้นผิว – ล้างคราบน้ำมัน, ยิงทราย, ฟอสเฟต หรือการเคลือบสารรองพื้น เพื่อให้สีเกาะติดแน่นขึ้น

2️⃣ พ่นสีฝุ่น – ใช้ปืนพ่นที่สร้างประจุไฟฟ้าให้ผงสีเกาะกับชิ้นงาน

3️⃣ อบสี – นำชิ้นงานเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180-220°C เพื่อให้สีหลอมละลายและยึดติด

4️⃣ ตรวจสอบคุณภาพ – ตรวจสอบความเรียบเนียน, ความหนาของสี และทดสอบความทนทาน

โดยทั่วไปความหนาของฟิล์มสีฝุ่นอยู่ที่ 60-120 ไมครอน (หนากว่าสีพ่นน้ำมันที่ปกติอยู่ที่ 30-50 ไมครอน)

สีฝุ่นมี 3 ประเภทหลัก ตามลักษณะการใช้งาน:

• โพลีเอสเตอร์ (Polyester) – เหมาะสำหรับงานภายนอก เช่น เฟอร์นิเจอร์สนาม, ชิ้นส่วนรถยนต์, อุปกรณ์ตกแต่งอาคาร
• อีพ็อกซี่ (Epoxy) – เหมาะสำหรับงานภายใน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชั้นวางของในโรงงาน เนื่องจากทนสารเคมีสูง
• ไฮบริด (Epoxy-Polyester) – ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก เช่น โครงสร้างเครื่องจักร, อุปกรณ์สำนักงาน

ทำได้ แต่ต้องเตรียมพื้นผิวพิเศษ เช่น ขัดผิวด้วยกรด หรือใช้ไพรเมอร์รองพื้น เพื่อให้สีติดแน่น

พ่นสีฝุ่นเหมาะสำหรับ:

• เฟอร์นิเจอร์โลหะ – เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ชั้นวางของ
• ชิ้นส่วนยานยนต์ – เช่น ล้อแม็ก, กันชน, แร็คหลังคา
• เครื่องใช้ไฟฟ้า – เช่น ตัวเครื่องปรับอากาศ, เครื่องซักผ้า
• ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม – เช่น โครงสร้างเหล็ก, อุปกรณ์ขนส่ง

สามารถเลือกสีจาก RAL หรือ Pantone และมีพื้นผิวพิเศษ เช่น

• เงา (Glossy)
• ด้าน (Matte)
• เมทัลลิก (Metallic)
• ลายทราย (Texture)

โดยเฉลี่ย 5-10 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน เช่น

• หากเป็นงานภายในอาคาร อายุการใช้งานจะนานกว่าภายนอก
• สีโพลีเอสเตอร์สามารถทนแสงแดดและ UV ได้นานกว่าสีอีพ็อกซี่